คณะอนุกรรมาธิการรัฐสภารับฟังปัญหาที่ดิน อ.สวนผึ้ง ราชบุรี

พ.อ.(พิเศษ) ผศ.ดร. สุรินทร์ จันทร์เพียร รองประธานคณะอนุกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์ปัญหาที่ดินทำกินจังหวัดกาญจนบุรี และใกล้เคียง พร้อมกับ นายวัฒนา เซ่งไพเราะ ประธานคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองเรื่องราวร้องทุกข์ของประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ  ได้เดินทางไปที่ศาลาประชาคม อ.สวนผึ้ง  จ.ราชบุรี เพื่อรับฟังปัญหาในเรื่องของการบุกรุกที่ดินราชพัสดุของชาวบ้าน  หลังจาก ที่มีชาวบ้านใน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ได้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรอง เรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ว่าถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐบังคับให้เช่าพื้นที่ทำกิน โดยอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นที่ดินราชพัสดุ  และเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำห้ามเข้าไปบุกรุกและทำลาย  ทั้งที่ชาวบ้านนั้นอยู่และทำมาหากินในพื้นที่นั้นมาหลายชั่วอายุคน 
โดยมีชาวบ้านมาร่วมให้ข้อมูลกับคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองเรื่องราวร้อง ทุกข์ของประธานสภาผู้แทนราษฎร กว่า 1,000 คน  ซึ่งนายวัฒนา  ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ในการลงพื้นที่มารับฟังปัญหาว่า   ต้องการมารับฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นพร้อมกับนำปัญหาของชาวบ้านที่เดือด ร้อนทั้งหมดไปเข้าที่ประชุมเพื่อพิจาณาหาทางแก้ไข  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งทราบว่าปัญหาการบุกรุกที่ดินราชพัสดุของชาวบ้านใน อ.สวนผึ้ง กับหน่วยงานของรัฐนั้นมีมานานแล้ว แต่ยังไม่ได้มีหน่วยงานใดเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาให้อย่างจริงจัง และการลงมารับฟังปัญหาในพื้นที่นั้นก็จะต้องฟังอย่างรอบด้าน เพื่อจะได้รับฟังข้อมูลที่แท้จริง     
ด้านนางสาวศิริ รัตน์  แต่แดงเพชร  อายุ 37 ปี  ชาวบ้านในหมู่ ต.สวนผึ้ง  อ.สวนผึ้ง  จ.ราชบุรี ก็กล่าวว่า  อยู่ในพื้นที่นี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ โดยถือใบ ภบท.และเสียภาษีให้กับทางเทศบาลตำบลสวนผึ้งทุกปี  
แต่จู่ก็มีหนังสือคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ให้หยุดการเสียภาษีให้กับทางเทศบาลเพราะเป็นเรื่องที่ผิด  และให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่มาดำเนินการแจ้งขอเช่าพื้นที่กับธนารักษ์ จ.ราชบุรี เพราะพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นพื้นที่ราชพัสดุ ที่มีหน่วยงานของทหารมาทำการขอใช้  ซึ่งแรกๆ ก็ไม่เข้าใจเพราะมีผู้นำหมู่บ้านไปบอกว่าถ้าไปเช่าแล้วต่อไปพื้นที่ก็จะตก เป็นของแผ่นดิน ทั้งที่เราทำมาหากินมาก่อน  จึงไม่ได้ไปยื่นเช่า  
แต่เมื่อมีหน่วยงานของทหารเข้าไปชี้แจงว่า  พื้นที่เดิมที่เคยทำกินก็ทำต่อไปห้ามบุกรุกใหม่และต้องไม่อยู่ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ส่วนผู้ที่มาอยู่ใหม่และมาทำการแผ้วถางบุกรุกป่าจะต้องไป
ทำการขอเช่าพื้นที่ก่อน ซึ่งถ้าได้รับอนุญาตจึงจะเข้ามาทำประโยชน์ในพื้นที่ได้  ก็เข้าใจ  แต่มาวันนี้ก็มีผู้นำชุมชนไปแจ้งว่าทหารจะยึดที่ดินคืน ให้นำเอกสารหลักฐานที่มายื่นขอพิสูจน์สิทธิ์ โดยจะมีทนายความมารับเรื่อง จากนั้นก็จะมีการออกโฉนดให้กับชาวบ้าน  จึงทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวก็พากันมามากมาย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพื้นที่นี้จะออกเอกสารสิทธิ์ได้หรือไม่ สำหรับพื้นที่ใน อำเภอสวนผึ้งนั้นเป็นที่ดินราชพัสดุ ที่มีกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแลและทางกองทัพบกได้มาใช้พื้นที่ในการฝึกและเริ่มมีปัญหามาตั้งแต่ปีพ.ศ.2551หลังมีนายทุนเริ่มเข้าไปจับจองเพื่อทำบ้านพักตากอากาศโดยมีผู้นำชุมชนในพื้นที่นั้นนำที่ดินของรัฐมาขายให้ ทั้งที่พื้นที่เดิมเป็นป่าต้นน้ำจนทำให้มีการจับกุมกันขึ้นพร้อมทั้งยึดคืนพื้นที่บางส่วนและยังอยู่ในขั้น ตอนของการพิจารณาคดีของศาลอีกหลายพื้นที่ซึ่งมาถึงปัจจุบันนี้มีรีสอร์ทบ้านพักตากอากาศมากกว่า 200 แห่งในพื้นที่อ.สวนผึ้ง  ทั้งที่เข้าไปบุกรุกป่า และในพื้นที่ราบจึงทำให้กรมธนารักษ์ต้องเข้าไปดำเนินการกันพื้นที่ป่าต้นน้ำไว้ และให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่จะต้องมาดำเนินการขอเช่าเพื่อจัดทำเป็นระบบ จึงทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดระแวงว่าถ้าจะต้องเช่านั้นอาจจะต้องเสียที่ดินที่เคยทำมาหากินไปจึงได้ไปร้องเรียนคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองเรื่องราวร้องทุกข์ของประธาน สภาผู้แทนราษฎร ให้มาช่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น